วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558



บันทึกการเรียน
ครั้งที่ 3
วัน พฤหัสบดี ที่ 3 กันยายน ปี 2558
เวลาเรียน 09:00 - 12:30น.



ความรู้ที่ได้รับ

สิ่งที่ได้รับวันนี้คือวิธีการลิงค์บล็อกและการตกแต่งบล็อกเบื้องต้น การใช้ภาษาในการสื่อสารกับเด็กต้องเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและมีความหมายที่ถูกต้องเพราะเด็กจะเรียนรู้จากเรา ในห้องเรียนของเด็กไม่ควรใช้สีไม้เพราะจะเป็นอันตรายกับเด็ก ถ้าจะให้เด็กระบายสีต้องใช้สีชอล์คหรือสีน้ำมันเพราะใช้ง่ายและปลอดภัยสำหรับเด็ก ครูต้องเขียนตัวอักษรหัวกลมตัวเหลี่ยมได้ดี


เนื้อหาที่เรียน

การจัดประสบการณ์ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
ภาษา หมายถึง การสื่อความหมาย เป็นเครื่องมือในการแสดงความคิดและความรู้สึก
ความสำคัญของภาษา 
1. ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
2. ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้
3. ภาษาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
4. ภาษาเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงจิตใจ
ทักษะทางภาษา ประกอบด้วย
 1. การฟัง     2. การพูด
 
3. การอ่าน  4. การเขียน
องค์ประกอบของภาษา
1. Phonology
คือระบบเสียงของภาษา      
เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาเพื่อสื่อความหมาย

หน่วยเสียงจะประกอบขึ้นเป็นคำในภาษา
2. Semantic
คือความหมายของภาษาและคำศัพท์
คำศัพท์บางคำสามารถมีได้หลายความหมาย

ความหมายเหมือนกันแต่ใช้คำศัพท์ต่างกัน
เช่น คนกลาง
-คนที่นั่งระหว่างกลางโดยคนอื่นๆ นั่งขนาบข้าง
-ลูกคนที่อยู่ในลำดับกลางระหว่างพี่กับน้อง
-ผู้ถือความเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
-ผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย
-ผู้ทำการค้าระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค
3. Syntax

คือระบบไวยากรณ์          การเรียงรูปประโยค
เช่น
- ครูตีเด็ก  เด็กถูกครูตี
- นกสีฟ้า  Blue Bird
แม่เกลียดคนใช้ฉัน   ฉันเกลียดคนใช้แม่
คนใช้เกลียดแม่ฉัน    แม่คนใช้เกลียดฉัน

ฉันเกลียดแม่คนใช้  แม่ฉันเกลียดคนใช้
4. Pragmatic

คือระบบการนำไปใช้        ใช้ภาษาให้ถูกต้องตามสถานการณ์และกาลเทศะ
เช่น    สวัสดีค่ะ/ครับ

พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
1.ระยะเปะปะ (Prelinguistic Stage) 
อายุแรกเกิด ถึง 6 เดือน
เด็กจะเปล่งเสียงดัง ๆ ที่ยังไม่มีความหมาย เพื่อบอกความต้องการ
ออกเสียง อ้อ – แอ้
เป็นช่วงที่ดีในการสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการทางการพูด

เด็กที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจจะมีพัฒนาทางภาษาที่ดี
2.ระยะแยกแยะ (Jergon Stage)
อายุ 6 เดือน ถึง 1 ปี
สามารถแยกแยะเสียงต่าง ๆ ที่ได้ยิน
พอใจที่ได้ส่งเสียง
ถ้าเสียงใดที่เด็กเปล่งออกมาได้รับการตอบสนองในทางบวก เด็กก็จะเปล่งเสียงนั้นซ้ำอีก
บางครั้งเด็กจะเลียนเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ตามเสียงคนที่พูดคุยด้วย
3.ระยะเลียนแบบ (Imitation Stage)
อายุ 1 – 2 ปี
เลียนเสียงต่าง ๆ ที่เด็กได้ยิน
เสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่มีความหมายจะค่อย ๆ หายไป
พูดย้ำคำซ้ำๆไปมา
ใช้คำศัพท์ได้ 5-20 คำ ทำตามคำสั่งง่ายๆได้
4. ระยะขยาย (The Stage of Expansion)
อายุ 2 – 4 ปี
อายุ 2 ปี 
เรียกชื่อสิ่งของที่อยู่รอบๆตัว
พูดเป็นคำ
รู้จักคำศัพท์ 150-300 คำ
เข้าใจสิ่งที่พูด 2 / 3
ใช้คำบอกตำแหน่ง

ใช้คำสรรพนามแทนตัวเอง
อายุ 3 ปี
พูดเป็นประโยคได้
รู้จักคำศัพท์ 900-1,000 คำ  เข้าใจสิ่งที่พูด 90%
ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
สนทนาโต้ตอบ / เล่าเรื่องด้วยประโยคสั้น ๆ ได้
สามารถตั้งคำถามโดยใช้เหตุผล

สนใจนิทานและเรื่องราวต่าง ๆ
ร้องเพลง ท่องคำกลอน คำคล้องจองง่าย ๆ
แสดงท่าทางเลียนแบบได้
รู้จักใช้คำถาม อะไร
สร้างผลงานตามความคิดของตนเองอย่างง่าย ๆ
เข้าใจคำถามง่ายๆ บอกเพศ ชื่อ อายุตัวเองได้

อายุ 4 ปี
บอกชื่อสิ่งของในรูป
ใช้คำบุพบทได้
รู้จักสีอย่างน้อย 1 สี
ชอบเล่าเรื่อง

ชอบพูดซ้ำๆ
บอกชื่อและนามสกุลของตนเองได้
พยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองหลังจากได้รับคำชี้แนะ
สนทนาโต้ตอบ/เล่าเรื่องเป็นประโยคอย่างต่อเนื่อง
สร้างผลงานตามความคิดของตนเอง โดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
รู้จักใช้คำถาม ทำไม
5.ระยะโครงสร้าง (Structure Stage)
อายุ 4 – 5 ปี
ใช้คำบรรยายลักษณะได้ดีขึ้น
เริ่มเล่นสนุกกับคำและรู้จักคิดคำและประโยคของตนเอง
ทำตามคำสั่ง 3 อย่างต่อกันได้

รู้จักเวลาคร่าวๆ
6.ระยะตอบสนอง (Responding Stage)
อายุ 5 – 6 ปี
สนทนาโต้ตอบบอกเล่าเป็นเรื่องราวได้
รู้จักใช้คำถาม ทำไม” “อย่างไร
เริ่มพัฒนาไปสู่ภาษาที่เป็นแบบแผนมากขึ้น
สร้างผลงานตามความคิดของตนเอง โดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นและแปลกใหม่
ใช้ภาษาเหล่านั้นกับสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว
7.ระยะสร้างสรรค์ (Creative Stage)
อายุ 6 ปีขึ้นไป
เข้าใจคำพูดที่ใช้ในสังคม
ภาษาพูดเป็นนามธรรมมากขึ้น

สนุกกับการแสดงความคิดเห็นโดยการพูดและการเขียน
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา
1.วุฒิภาวะ
อายุ 3 ขวบ จะสามารถใช้คำพูด 376 คำต่อวัน

อายุ 4 ขวบ จะพูดได้ 397 คำต่อวัน
2.สิ่งแวดล้อม
บ้าน พ่อแม่ ผู้ปกครอง

ครู โรงเรียน
3.การเข้าใจความหมายภาษาที่ใช้พูด
4.การจัดชั้นเรียน
5.การมีส่วนร่วม (Participation)


พัฒนาการภาษาของเด็กปฐมวัย
เด็กจะค่อยๆสร้างความรู้และเข้าใจ เป็นลำดับขั้น
ครูหรือผู้สอนต้องมีความเข้าใจและยอมรับ
หากพบว่าเด็กใช้คำศัพท์หรือไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง
ควรมองว่านั่นเป็นกระบวนการเรียนรู้ภาษาของเด็ก


วันนี้ได้ทำป้ายชื่อด้วย มีข้อแม้ในการทำป้ายชื่อคือทุกคนต้องเขียนชื่อตัวเอง
โดยใช้ตัวอักษรหัวกลมตัวเหลี่ยมเขียนชื่อเท่านั้น

เพื่อนทุกคนร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน

วันนี้คณุครูให้วาดรูปที่เด็กๆชอบมากที่สุด เด็กหญิงวราพร
ก็เลยวาดรูปแกะน้อยกำลังกินหญ้าเพราะเด็กหญิงวราพรชอบแกะมากที่สุดเลย



 เพื่อนๆออกมาเล่าสิ่งที่ตนเองวาด เป็นตัวแทนของเด็กๆทั้งหมด



 การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้

    ในเรื่องของภาษานั้นเมื่อเราเป็นครูเราต้องใช้ภาษาสื่อสารให้ถูกต้องเพราะการสอนเด็กไม่ว่าจะเป็นคำพูด ท่าทางหรือสื่อที่ครูนำมาใช้สอน ทุกอย่างที่ครูแสดงออกมานั้นเด็กพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากครู
ฉะนั้นเมื่อเราเป็นครูเราจึงต้องเป็นแแบบอย่างในการใช้ภาษาสื่อสารกับเด็ก และคอยให้คำแนะนำที่ดีเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกต้องจากเด็ก แต่ต้องเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจจึงจะเสริมสร้างพัฒนาการด้านภาษาในตัวเด็กมากขึ้น


 การประเมินผล

การประเมินตนเอง
    ดิฉันอยู่ในห้องเรียนอย่างสนุกสนานมีความสุขไปกับการเรียน ในวันนี้ครูให้เขียนป้ายชื่อโดยใช้ตัวอักษรหัวกลมตัวเหลี่ยมเขียนชื่อตัวเอง วันนี้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถเขียนตัวอักษรหัวกลมตัวเหลี่ยมได้ดีขึ้น แต่ตัวหนังสือยังเอียงอยู่เล็กน้อย กิจกรรมร้องเพลงห้าเพลงแรกดิฉันร้องได้อย่างมั่นใจมากเพราะดิฉันสามารถจำเนื้อเพลงได้หมด ส่วนห้าเพลงหลังนั้นดิฉันยังร้องได้ไม่ดีเพราะยังจำเนื้อเพลงไม่ได้ กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้คือการวาดภาพสิ่งที่เราขอบมากที่สุด ดิฉันก็เลยวาดรูปแกะที่กำลังกินหญ้าอยู่ดิฉันชอบกิจกรรมนี้มากเพราะครูให้ทุกคนในห้องทำตัวเหมือนเด็กๆและที่สำคัญคือได้ใช้คำว่าเด็กหญิงนำหน้าชื่อของตัวเองลงในผลงานด้วยดิฉันรู้สึกชอบมากค่ะ


การประเมินเพื่อน
     วันนี้เพื่อนทุกคนได้เล่นและได้เรียนไปด้วยกัน ทุกคนให้ความร่วมมือในการเรียนเป็นอย่างดี ตอนที่ครูให้ดูรูปภาพเกี่ยวกับภาษาดิฉันไม่เข้าใจบางภาพ แต่เพื่อนๆก็สามารถอธิบายจนดิฉันเข้าใจภาพนั้น ส่วนกิจกรรมร้องเพลงแม้บางเพลงเพื่อนๆอาจจะร้องได้ไม่เข้าจังหวะแต่ก็ทำให้ดิฉันกล้าที่จะร้องเพลงเสียงดังขึ้น วันนี้เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียนและทำได้ดีมากค่ะ

การประเมินอาจารย์
    วันนี้อาจารย์ต้องอดทนที่จะค่อยๆสอนวิธีการทำบล็อกเบื้องต้น อาจารย์สอนได้ดีดึงดูดความสนใจแม้บางอย่างจะเป็นเนื้อหาที่น่าเบื่อแต่อาจารย์ก็สอนได้สนุกและทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย และอาจารย์ยังได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้สีในห้องเรียนเด็กว่าควรใช้สีแบบไหนจึงจะดีและปลอดภัยสำหรับเด็ก 








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น